(ที่มา:มติชสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19-25 ตุลาคม 2555)
ปรากฏการณ์ "ตอมแมลงวัน" กรณี สรยุทธ ณ ไร่ส้ม ฝุ่นควันยังไม่ทันจาง
แวดวงสื่อสารมวลชนเมืองไทยก็ร้อนฉ่าขึ้นมาอีกรอบหนึ่ง เมื่อเจ้าของสื่อแกนนำกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองเปิดประเด็นตั้งคำถาม รวมถึงเรียกร้องให้ตรวจสอบ "สื่อ" ซึ่งเคยเป็นแนวร่วม เป็นพันธมิตรที่เดินหน้าเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาก่อน
นำไปสู่การตอบโต้ด้วยข้อมูล ด้วยวาทกรรมคำพูดที่เข้มข้น ดุเดือด จนผู้ที่เกาะติดกระแสดังกล่าวอดคิดไม่ได้ว่า นี่อาจเป็นสงคราม (ครั้งสุดท้าย) รอบใหม่ระหว่างคนคุ้นเคยด้วยกันเสียเอง
โดยมีจุดเริ่มต้นจากการที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผู้หวนคืนกลับมาจัดรายการโทรทัศน์อีกครั้งหนึ่ง เปิดประเด็นขึ้นในการจัดรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV
ประเด็นที่แหลมคมนั้นคือการตั้งข้อสังเกตว่า 3 สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมอันประกอบด้วย Bluesky Channel, T-news และ Thai TVD ทำไมจึงมีแนวทางหรืออุดมการณ์คล้ายๆ กัน เป็นไปได้หรือไม่ว่า ที่เป็นเช่นนั้นเพราะมีแหล่งทุนมาจากที่เดียวกัน
"ค่าเช่าดาวเทียม 3 ช่อง ช่องละเกือบ 1 ล้านบาท รวม 3 ล้านบาท ค่าเงินเดือนๆ หนึ่งทั้ง 3 ช่อง ราว 10 ล้านบาท ผมถามว่า อุดมการณ์ใครเอามาลง ถ้าอุดมการณ์เอเอสทีวี นั่น เพราะประชาชนเขาสนับสนุน ของพวกคุณนี่มันอุดมการณ์ทางการเมือง คือทั้ง 3 ช่อง ไม่รู้เงินมาจากไหน เอาบัญชีมาให้ดูหน่อยได้ไหม เงินที่ดูผ่านบัญชีว่า ที่มาใช้จ่าย จ่ายค่าดาวเทียม จ่ายค่าโน้นค่านี้ ผมกล้าฟันธงเลยว่า 3 ช่องนี้ จะต้องได้เงินมาจากบางแห่งที่อธิบายไม่ได้"
ข้อความจากการตั้งข้อสังเกตของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวในรายการเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2555 ดังกล่าว
ด้านหนึ่งพุ่งตรงไปที่ สถานีโทรทัศน์ Blue Sky ที่เกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์อย่างยากจะแยกออก ทั้งยังกระทบชิ่งไปถึง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ คีย์แมนของพรรคประชาธิปัตย์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีมากบารมีผู้นั้นนั่นเอง
อีกด้านหนึ่ง ส่งผลสั่นสะเทือนจนทำให้ "นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม" ในฐานะผู้ก่อตั้ง ผู้ถือหุ้นใหญ่ ผู้บริหารและเจ้าของสำนักข่าว T-news เขียนแถลงการณ์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ตอบโต้ทันทีในวันที่ 13 ตุลาคม 2555
เป็น สุเทพ เทือกสุบรรณ และ สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ที่เคยเป็นแนวร่วมขับเคี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เช่นเดียวกันกับ สนธิ ลิ้มทองกุล นั่นเอง
ปฏิกิริยาโต้ตอบจากนายสุเทพปรากฏผ่านสื่อ โดยให้สัมภาษณ์ถึง กรณีที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวหาว่านำเงินที่ได้จากการคอร์รัปชั่นมาจัดตั้งสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมบลูสกาย แชลแนล ว่า สถานีโทรทัศน์บลูสกายที่เกิดขึ้นไม่ใช่ตน แต่มีคนที่มีอุดมการณ์คล้ายกันเป็นผู้จัดตั้งขึ้น เพราะเห็นว่าที่ผ่านมาประชาชนถูกบิดเบือนข่าวสารทั้งจากช่องฟรีทีวี หนังสือพิมพ์บางฉบับ และทีวีดาวเทียมบางช่องที่รับใช้รัฐบาล
ส่วนสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่องไทยทีวีดี และทีนิวส์ ก็ไม่ได้เป็นเจ้าของเช่นกัน
ขณะที่ นายวิทเยนทร์ มุตตามระ กรรมการผู้จัดการบลูสกายแชนแนล ก็ออกมาให้ข้อมูลปฏิเสธคำกล่าวหาโดยระบุว่า เงินทุนในการทำสถานีโทรทัศน์เป็นเงินที่เขาลงทุนและกู้แบงก์มาดำเนินการ สามารถชี้แจงที่มาที่ไป รายได้ รายรับ อย่างชัดเจน มิได้มีการช่วยเหลือหรือรับบริจาคจากใครทั้งสิ้น
พร้อมแจกแจงรายละเอียดให้เห็นกันทุกส่วน ทุกเม็ด เลยก็ว่าได้ เช่น
- รายได้จากการขายโฆษณา ประมาณร้อยละ 60 ของรายได้รวม
- รายได้จากการรับสมัครสมาชิกข่าวทางข้อความสั้น SMS ประมาณร้อยละ 10
- รายได้จากการจัดกิจกรรมต่างๆ กับผู้ชม เช่น การจัดบลูสกายทัวร์เดือนละ 1-2 ครั้ง เป็นต้น คิดเป็นประมาณร้อยละ 15
- รายได้จากการขายสินค้าผ่านระบบ Blue Sky Direct อาทิเช่น ข้าวสาร กาแฟ ผงซักฟอก จานดาวเทียม ฯลฯ คิดเป็นประมาณร้อยละ 10 ของรายได้รวม
- อีกร้อยละ 5 เป็นรายได้อื่นๆ อาทิเช่น รายได้จาก SMS ที่ผู้ชมส่งความเห็นมาขึ้นหน้าจอ เป็นต้น
ก่อนจะทิ้งท้ายเหน็บกลับว่า ไม่เคยร้องขอเงินบริจาคใครมาทำกิจการสื่อ และเตรียมจะฟ้องร้องผู้ที่กล่าวหาบลูสกายทีวีอีกด้วย
"ตามที่มีความพยายามใส่ร้ายป้ายสีบลูสกายแชนแนล ว่า ก่อตั้งมาจากเงินที่มาจากการทุจริตคอร์รัปชั่น การกล่าวหาเช่นนี้ทำให้บลูสกายแชนแนลได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียง ผมในฐานะกรรมการผู้จัดการบลูสกายแชนแนล จะทำหน้าที่ปกป้องชื่อเสียงของบลูสกายแชนแนล ด้วยการปรึกษาทีมกฎหมายเพื่อดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้ที่ใส่ร้ายป้ายสีบลูสกายแชนแนลให้เสื่อม เสียชื่อเสียงต่อไป"
ด้านนายสนธิญาณ มีการชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ยอมรับว่า รู้จักนับถือ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ทั้งยังเคยได้รับความเอื้อเฟื้อจากนายสนธิ สมัยที่เขายังทำหนังสือ "ข่าวพิเศษ" เมื่อ 25 ปีก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าไม่เคยประกาศตัวว่าเป็นคนดี และไม่ได้รับเงินจากใครมาทำธุรกิจสื่อ เพราะเขาสร้างตัวด้วยตัวเองมาโดยตลอด
โดยสถานีข่าว ต่อยอดมาจาก สำนักข่าวทีนิวส์ที่ก่อตั้งในปี 2550 เพื่อทำรายงานข่าวทาง SMS ผ่านทางผู้ให้บริการทั้ง 3 ค่ายคือ AIS, DTAC และ TRUE ซึ่งประสบความสำเร็จด้วยดี มีสมาชิกถึงประมาณกว่า 3 แสนราย ต่อมา จึงได้จัดตั้ง ทีนิวส์ทีวี ขึ้นเพื่อขยายผลทางธุรกิจให้ครบวงจร ปัจจุบัน มีรายได้จากค่าโฆษณา เดือนละประมาณ 5 ล้านบาทรวมกับรายได้จาก SMS ก็ทำให้พออยู่ได้
"30 ปีในวิชาชีพข่าว มีเกียรติมีศักดิ์ศรี เคารพตัวเอง ไม่เคยประกาศตัวเป็นนักต่อสู้หรือคนดีใดๆ เพราะไม่เคยคิดว่าตัวเองดีพอที่จะประกาศอะไร แต่ไม่กลัวความไม่ถูกต้องใดๆ แม้ต้องแลกกับชีวิตก็ตาม ผมกับคุณสนธิ เคยมีความผูกพันกันด้วยบุญคุณบางประการ เพราะคุณสนธิเคยให้ผมยืมเงิน 1 แสนบาทโดยการแลกเช็คเพื่อเอามารักษาชีวิต "หนังสือพิมพ์ข่าวพิเศษ" เมื่อ 25 ปีก่อน ซึ่งต่อมาก็ได้ใช้คืนหนี้ไปเป็นที่เรียบร้อย"
จนถึงขณะนี้ยังเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยากว่า สถานการณ์ปีนเกลียว เรียกร้องการตรวจสอบ ถามหาความโปร่งใส ซึ่งให้ข่าวโต้ตอบกันอย่างเผ็ดร้อน ในกลุ่มคนที่คุ้นเคยกันทั้ง สนธิ-สุเทพ-สนธิญาณ จะเดินหน้าต่อไปถึงจุดไหน
แต่เชื่อว่ายังคงถูกจับตาแบบเกาะติดจากทุกฝ่าย ทั้งแวดวงสื่อ และด้านการเมือง อย่างแน่นอน เพราะแต่ละฝ่ายล้วนไม่ธรรมดาทั้งนั้น...